วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การเปิดรับข่าวสารและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี


เรื่อง                  การเปิดรับข่าวสารและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
บ้านเชียง ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
คณะผู้วิจัย            นางสาวผุดผ่อง        วงค์อนุ
                       นางสาววรกาญจน์     ดงไมตรี
                       นางสาวสุพัตรา        น้อยนิล
                       นายกรกช              เขียวรอด
                       นางสาวมุกวดี                   เยาวรัตน์
ระดับการศึกษา      ระดับปริญญาตรี นิเทศศาสตรบัณฑิต (นศ.บ) 
ปีที่พิมพ์     พ.ศ. 2558
สังกัด                  สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
อาจารย์ที่ปรึกษา    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เสกสรร  สายสีสด

บทคัดย่อ
          การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ข้อมูลนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง
เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการท่องเที่ยวเชิงโบราณคดี โดยใช้แบบสอบถาม ในการสำรวจความคิดเห็นต่างๆ จากกลุ่มเป้าหมายในการสำรวจข้อมูลจำนวน 400 คน จากนักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 390 คน และชาวต่างชาติ จำนวน 10 คน จากนั้นจึงได้นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ จากสถิติด้วยโปรแกรม SPSS โดยการหาค่าสถิติพื้นฐานเพื่อวิเคราะห์ลักษณะโดยทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาโดยการใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย เพื่ออธิบายลักษณะของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ซึ่งประมวลผลโดยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามเป็น
ชาวไทยมากกว่าชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่มีอายุตั้งแต่ 20-25 ปี มีสถานภาพโสด  มีการศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นนักเรียนนักศึกษา ส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาท
          พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง พบว่ากลุ่มตัวอย่างได้รับข่าวสารของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง จากสื่ออินเทอร์เน็ตจำนวน 178 คน คิดเป็นร้อยละ 36.5 รับข่าวสารจากโซเซียลมีเดีย จำนวน 168 คน คิดเป็นร้อยละ 34.4 ทราบจากคนรู้จักจำนวน 78 คน คิดเป็นร้อยละ 16.0 รับข่าวสารจากสื่อโทรทัศน์จำนวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 14.8 การรับฟังจากผู้รู้จำนวน 69 คน คิดเป็นร้อยละ 14.1 รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อหนังสือพิมพ์จำนวน 51 คน คิดเป็นร้อยละ 10.5 จากสื่อวิทยุจำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 5.5 
          ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อข้อมูลข่าวสารในระดับมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ พึงพอใจต่อป้ายบอกทางในการเดินเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง และพึงพอใจต่อปริมาณข่าวสารที่ได้รับ ( x = 4.05 ) รองลงมาได้แก่ การได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอและข้อมูลของสื่อต่างๆด้านการประชาสัมพันธ์ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 3.71 - 3.93 ) พึงพอใจต่อสถานที่ถ่ายและระยะเวลาในการเดินเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ อยู่ในระดับมาก ( x = 3.89 ) พึงพอใจต่อการบริการอำนวยความสะดวกของรถราง ห้องน้ำ ความสะอาดของสถานที่เดินเที่ยวชมอยู่ในระดับมาก ( x = 3.77 - 3.83 ) พึงพอใจต่อสถานที่จอดรถและร้านค้าขายของที่ระลึกอยู่ในระดับมาก(x = 3.70 – 3.89 ) พึงพอใจต่อข้อมูลความรู้ต่อวัดโพธิ์ศรีในและเรือนไทพวนอยู่ในระดับมาก ( x = 3.71 – 3.76 ) และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือพึงพอใจต่อการต้อนรับของประชาชนในเขตพื้นที่ และพึงพอใจต่อการเดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงอยู่ในระดับมาก ( x = 3.66 – 3.68 ) ตามลำดับ



การเปิดรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนของโรงเรียนดอนบอสโกวิทยา


ชื่อวิจัย                                   : การเปิดรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนของโรงเรียนดอนบอสโกวิทยา
คณะผู้วิจัย                             :  ธวัลรัตน์    แก้วดอนรี
                                                   รณรงค์       ชมศิริ
                                                    กฤษณา       มีศรี
สาขาวิชา                               :  สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ
                                                    มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ระดับการศึกษา                    :  ปริญญาตรี นิเทศศาสตรบัณฑิต (นศ.บ.)
ปีการศึกษา                            :  2557
อาจารย์ที่ปรึกษา                  ผศ.ดร.เสกสรร  สายสีสด
 


บทคัดย่อ
 การศึกษาเรื่องการเปิดรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนของโรงเรียนดอนบอสโกวิทยา อ.เมือง จ.อุดรธานี 
มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย 
1. เพื่อศึกษาสภาพการณ์เปิดรับข้อมูลข่าวสารด้านอาเซียนของนักเรียนโรงเรียนดอนบอสโกวิทยา 
2. เพื่อศึกษาความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของนักเรียนโรงเรียนดอนบอสโกวิทยา 
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อข้อมูลข่าวสารด้านอาเซียนของนักเรียนโรงเรียนดอนบอสโกวิทยา การดำเนินการวิจัยโดยผู้วิจัยจะทำการศึกษาประชากรและกลุ่มตัวอย่างกับนักเรียนโรงเรียนดอนบอสโกวิทยา จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม รวบรวมแบบสอบถามนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 400 คน มีนักเรียนผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง อายุของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามมากที่สุดคือ 12-13 ปี รองลงมา คือ 14-15 ปี อายุ 16-17 ปี ช่วงอายุที่ตอบแบบสอบถามน้อยที่สุด คือ 18-19 ปี
ระดับการศึกษาของผู้ตอบแบบสอบถามที่มากที่สุด คือ มัธยมศึกษาปีที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 27
รายได้ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามที่มากที่สุด คือ ต่ำกว่า 2,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 39 รับรู้ข้อมูลข่าวสารอาเซียนมากที่สุดจากสื่อ โทรทัศน์ คิดเป็นร้อยละ 73.5ช่วงเวลาที่รับข้อมูลข่าวสารด้านอาเซียนของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามส่วนมากรับข้อมูลข่าวสารด้านอาเซียนช่วงเย็น คิดเป็นร้อยละ 57 สถานที่เปิดรับข้อมูลข่าวสารด้านอาเซียนของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่รับข่าวสารที่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 86.5 ส่วนใหญ่มีความพร้อมในการเปิดประชาคมอาเซียน คิดเป็นร้อยละ 68.5 และไม่พร้อม คิดเป็นร้อยละ 31.5 ได้รับข่าวสารด้านอาเซียนพอเพียง คิดเป็นร้อยละ 64.0 และไม่พอเพียง คิดเป็นร้อยละ 36.0 ติดตามข่าวสารอาเซียนโดยทำอย่างอื่นไปด้วย  คิดเป็นร้อยละ 41.3  การเปิดรับอาเซียนที่มีผลกระทบด้าน การศึกษา คิดเป็นร้อยละ  75.5 ไม่พร้อมด้านภาษาอาเซียน คิดเป็นร้อยละ 33.0 การเปิดประชาคมอาเซียนมีการศึกษา คิดเป็นร้อยละ  75.5 กิจกรรมมีการจัดนิทรรศการ คิดเป็นร้อยละ  63.5 รองลงมาคือป้ายนิเทศ คิดเป็นร้อยละ  58.8 การแสดง คิดเป็นร้อยละ  54.8 และการแข่งขันตอบปัญหา คิดเป็นร้อยละ  38.8
การเปิดรับอาเซียนเพื่อการศึกษาไทยที่ดีขึ้น คิดเป็นร้อยละ 3.81 ปัญหาของการเปิดรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนส่งผลกระทบต่อการเตรียมความพร้อม จำนวน 200 คิดเป็นร้อยละ  50.0
ปัญหาด้านการศึกษาไทยส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปการศึกษา จำนวน 158 คิดเป็นร้อยละ  39.5 การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนส่งผลดีและผลเสียต่อการศึกษาไทยในด้านมีการเพิ่มทักษะการเรียนรู้ในอาเซียนเพิ่มขึ้น จำนวน 145 คิดเป็นร้อยละ  36.3 รองลงมาคือมีการเน้นการใช้ภาในการเรียนเพิ่มขึ้น มีจำนวน 133 คิดเป็นร้อยละ  33.3 มีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนมีจำนวน 119 คิดเป็นร้อยละ  29.8 และอื่นๆ มีจำนวน 3 คิดเป็นร้อยละ  0.8




การเปิดรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนของโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี


ชื่อวิจัย           :   การเปิดรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนของโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 
    อำเภอเมือง     จังหวัดอุดรธานี
คณะผู้วิจัย        :   น้ำทิพย์   ขุมเงิน
   พงศพัศ   ตรียะโชติ
   ขวัญหทัย    สมเสข
   พัชรี   คำศรีระภาพ
สาขาวิชา         :   สาขาวิชานิเทศศาสตร์  คณะวิทยาการจัดการ  มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ปีการศึกษา       :   2557
อาจารย์ที่ปรึกษา :   ผศ.ดร.เสกสรร  สายสีสด
 


บทคัดย่อ
          การศึกษาเรื่องการเปิดรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนของโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล  มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย  1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนของนักเรียนโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล  2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อข่าวสารอาเซียนของนักเรียนโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล  3. เพื่อศึกษาปัญหาของการรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนของนักเรียนโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล  การดำเนินการวิจัยโดยผู้วิจัยจะทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างกับนักเรียนโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล  จำนวน 400 คน  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม  จำนวน 400 ชุด  แบบสอบถามแบ่งออกเป็น 4 ส่วนรวบรวมแบบสอบถามนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าร้อยละ  ค่าเฉลี่ย  และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
          ผลการวิจัยพบว่าพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารของนักเรียนโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล  พบว่าเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย  รับทราบข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอาเซียนผ่านทางสื่อโทรทัศน์  คิดเป็นร้อยละ 76.5  รองลงมาคืออินเทอร์เน็ต  คิดเป็นร้อยละ 70.8  โดยส่วนใหญ่เลือกสถานที่รับชมคือ  บ้าน  คิดเป็นร้อยละ 88.8  และเป็นช่วงเช้าที่เปิดรับข่าวสารอาเซียน  คิดเป็นร้อยละ 50.8  นักเรียนโรงเรียนอุดรพิทยานุกูลมีความพร้อมที่จะเปิดรับประชาคมอาเซียน  คิดเป็นร้อยละ 89.3  แต่ไม่พร้อมด้านภาษาอาเซียนโดยมีผลกระทบต่อการเปิดรับประชาคมอาเซียนมากที่สุด  คิดเป็นร้อยละ39.5  การเปิดรับประชาคมอาเซียนมีผลกระทบในด้านการศึกษามากที่สุด  คิดเป็นร้อยละ 70.0  ซึ่งมีผลดีในการเปิดรับประชาคมอาเซียนด้านธุรกิจการค้ามากที่สุด  คิดเป็นร้อยละ 72.0
          ความพึงพอใจต่อข่าวสารอาเซียนพบว่านักเรียนโรงเรียนอุดรพิทยานุกูลมีความพึงพอใจต่อการเปิดรับประชาคมอาเซียนอยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.24  รองลงมาคือพึงพอใจในการเตรียมความพร้อมต่อการเปิดรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนอยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.13 
ความพึงพอใจในการเปิดรับประชาคมอาเซียนเพื่อการศึกษาไทยที่ดีขึ้นอยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.04  พึงพอใจต่อการรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนจากสื่อออนไลน์อยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.03  โรงเรียนได้ให้ข้อมูลด้านอาเซียนกับนักเรียนที่เพียงพออยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.02  พึงพอใจต่อการศึกษาไทยที่ดีขึ้นในการเปิดรับประชาคมอาเซียนอยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.95  พึงพอใจในการรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนจากสื่อ  Social Network  อยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.94  พึงพอใจต่อกิจกรรมในข้อมูลข่าวสารอาเซียนของหน่วยงานรัฐและเอกชนอยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.87  พึงพอใจในการแข่งขันการทำงานมากขึ้นต่อการเปิดรับประชาคมอาเซียนอยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.85  พึงพอใจในการรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนที่มีผลต่อชาวไทยในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในการดำรงชีวิตอยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.85  พึงพอใจต่อการรับข้อมูลข่าวสารอาเซียนสื่อวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์อยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.84  และพึงพอใจต่อการรับข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอยู่ในระดับมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 3.61
ปัญหาการเปิดรับข่าวสารอาเซียนที่ส่งผลต่อนักเรียนเรียนโรงเรียนอุดรพิทยานุกูลพบว่าปัญหาของการเปิดรับข่าวสารอาเซียนที่ส่งผลกระทบมากที่สุด คือ การปรับตัวในการรับข้อมูลข่าวสารไม่ทัน  คิดเป็นร้อยละ 60.0  รองลงมาคือดารเตรียมความพร้อม  คิดเป็นร้อยละ 21.3  ความรู้ความเข้าใจต่ออาเซียน  คิดเป็นร้อยละ 18.8 
ปัญหาการศึกษาที่ส่งผลกระทบต่อประชาคมอาเซียนในด้านปฏิรูปการศึกษา  คิดเป็นร้อยละ 45.8  รองลงมาคือบุคลากรปรับตัวไม่ทันต่อสถานการณ์  คิดเป็นร้อยละ 35.0  มีการแข่งขันทางการศึกษา  คิดเป็นร้อยละ 19.3  การเข้าสู้ประชาคมอาเซียนมีผลดีต่อธุรกิจการค้ามากที่สุด  คิดเป็นร้อยละ 46.5  รองลงมาคือการศึกษา  คิดเป็นร้อยละ 26.5

          

สภาพความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของสื่อมวลชนในจังหวัดอุดรธานี


ชื่อเรื่อง                  :                              สภาพความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของสื่อมวลชนในจังหวัดอุดรธานี
คณะผู้วิจัย              :                              1. นางสาวศิริพรรณ            ศรีสวัสดิ์
                                                                2. นางสาวสุวนันท์              แก้ววิเชียร
                                                                3. นางสาวชุลีพร                 วาจารัตน์
                                                                4. นางสาวพัชชานันท์        คำทึง
สังกัด                    :                                สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ระดับการศึกษา        :                           ปริญญาตรี นิเทศศาสตรบัณฑิต ( นศ.บ. )
ปีการศึกษา             :                             2558
อาจารย์ที่ปรึกษา      :                           ผศ.ดร.เสกสรร สายสีสด

บทคัดย่อ
การศึกษางานวิจัยเรื่องสภาพความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของสื่อมวลชนในจังหวัดอุดรธานี เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Server research) เพื่อสำรวจการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของสื่อมวลชนในจังหวัดอุดรธานี ความพึงพอใจของสื่อมวลชนในจังหวัดอุดรธานีที่มีต่อข่าวสารอาเซียนและ ปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสื่อมวลชนในจังหวัดอุดรธานีเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่สื่อมวลชนในจังหวัดอุดรธานี จากทำเนียบสื่อมวลชนจังหวัดอุดรธานี สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุดรธานีโดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงทั้งหมด 37 แห่ง โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป(SPSS)การแจกแจงความถี่ร้อยละค่าเฉลี่ย(Mean)และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard Deviation)
จากการศึกษาการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของสื่อมวลชนในจังหวัดอุดรธานี พบว่าสื่อที่สื่อมวลชนในจังหวัดอุดรธานี มีส่วนร่วมในการข่าวอาเซียนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 59.5 รองลงมาคือ การอบรมเกี่ยวกับอาเซียนด้านเศรษฐกิจ ร้อยละ 32.4 ซึ่งสื่อมวลชนมีความพร้อม ความรู้และความเข้าใจ เกี่ยวกับอาเซียนอยู่ในระดับมาก สื่อมวลชนมีบทบาทหน้าที่ต่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนพบว่าอยู่ในระดับมาก ปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสื่อมวลชนในจังหวัดอุดรธานีเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน พบว่าปัญหาในด้านที่เป็นอุปสรรคในการทำงานของสื่อมวลชนเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน คือด้านภาษามากที่สุดมีคิดเป็นร้อยละ 89.2 รองลงมาคือ กฎหมาย คิดเป็นร้อย 48.6 สื่อมวลชนไทยมีการปรับตัวรับสื่อมวลชนอาเซียนด้วยการศึกษาค้นคว้าด้านภาษา เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรมคิดเป็นร้อยละ39.13% รองลงมาคือมีการปรับตัวเตรียมรับกับสื่อต่างประเทศคิดเป็นร้อยละ13.04  การเข้าสู่อาเซียนเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพด้านสื่อมวลชนมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าการเปิดอาเซียนทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร มีข่าวสารที่หลากหลาย และสื่อมวลสามารถทำข่าวข้ามประเทศได้มีบทบาทต่อการเข้าสู่อาเซียน


ความคิดเห็นและความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนสาขาวิชานิเทศศาสตร์(ภาคปกติ)


ชื่อเรื่อง          ความคิดเห็นและความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ที่มีต่อการจัดการเรียนการ  
                      สอนสาขาวิชานิเทศศาสตร์(ภาคปกติ)                     
คณะผู้วิจัย     นางสาววัตถาภรณ์  โพธิ์สว่าง
                      นางสาวสุวิภา    มงคล
                      นางสาววิไลพรรณ   สุดบับ
                      นางสาวปนัดดา    ศีลารัตน์                                        
สังกัด            สาขาวิชานิเทศศาสตร์  คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ปีการศึกษา   2558
ระดับการศึกษา ปริญญาตรีนิเทศศาสตร์บัณฑิต(การประชาสัมพันธ์)
อาจารย์ที่ปรึกษา    ผศ.ดร.เสกสรร   สายสีสด  
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทคัดย่อ
 การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนและเพื่อทราบความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์(ภาคปกติ) ชั้นปีที่ 1-4 ทุกคน มีจำนวนทั้งสิ้น 499 คน เก็บรวบรวมตามจำนวนจริง 332 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสำรวจความคิดเห็นและความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนสาขาวิชานิเทศศาสตร์(ภาคปกติ)มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ลการวิจัยพบว่าความคิดเห็นและความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนสาขาวิชานิเทศศาสตร์ในด้านต่างๆ ด้าน ซึ่งประกอบไปด้วย 
1)ด้านบุคลากรผู้สอน 
2)ด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของนักศึกษา 
3) ด้านกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ 
4) ด้านหลักสูตร 
5) ด้านการวัดและประเมินผล 

ากผลการวิจัยเมื่อพิจารณาแล้วพบว่าทั้ง 5 ด้าน เมื่อแปลค่าระดับความพึงพอใจแล้วอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีระดับความพึงพอใจมากที่สุดคือด้านบุคลากรผู้สอน เมื่อพิจารณารายด้านได้รับค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือผู้สอนมีการตั้งใจ เอาใจใส่ต่อการเรียนการสอ (x = 4.11) รองลงมาคือ ด้านหลักสูตรเมื่อพิจารณารายด้าน ได้รับค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ จำนวนชั่วโมงเรียนในแต่ละรายวิชามีความเหมาะสม (x =3.93)  ด้านกิจกรรมที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ เมื่อพิจารณารายด้านได้รับค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือกิจกรรมละครเวทีนิเทศศาสตร์(x =3.95) ด้านการวัดและประเมินผล เมื่อพิจารณารายด้าน ได้รับค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การวัดและประเมินผลเป็นไปตามระเบียบกฎเกณฑ์และข้อตกลงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (x =3.87)  และด้านที่ได้รับค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของนักศึกษา ได้รับค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือระบบสารสนเทศเหมาะสม เอื้อต่อการเรียนรู้และเพียงพอต่อนักศึกษา (x =3.57)
                  




วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การเปิดรับข้อมูลข่าวสารและความพึงพอใจต่อการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2558 ของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี

ชื่อเรื่อง                 :    การเปิดรับข้อมูลข่าวสารและความพึงพอใจต่อการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2558 
                              ของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี
คณะผู้วิจัย             :       1. นางสาวเกษราภรณ์  กะกุลพิมพ์
                                2. นายนักรบ  ภูมิชัย
                                3. นางสาวอนุสรา ติโทกุล
สังกัด                   :      สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ระดับการศึกษา        :      ปริญญาตรี นิเทศศาสตรบัณฑิต ( นศ.บ. )
ปีการศึกษา            :      2558
อาจารย์ที่ปรึกษา      :      ผศ.ดร.เสกสรร  สายสีสด
อาจารย์ที่ปรึกษา      :         ผ

บทคัดย่อ

การศึกษางานวิจัยเรื่องการเปิดรับข้อมูลข่าวสารและความพึงพอใจต่อการร่างรัฐธรรมนูญของรัฐบาลไทย พ.ศ.2558 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Server research) เพื่อสำรวจการเปิดรับข้อมูลข่าวสารและความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี จำนวน 400 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป(SPSS) การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
ผลการวิจัยพบว่าประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานีส่วนใหญ่ ติดตามข่าวสารร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 คิดเป็นร้อยละ 55.8 สื่อที่ประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานีเลือกในการติดตามข่าวสาร ได้แก่ โทรทัศน์ คิดเป็นร้อยละ 83.5 ความพึงพอใจต่อข่าวการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 ทางช่องสถานีโทรทัศน์ คิดเป็นร้อยละ ได้แก่ ช่อง3 คิดเป็นร้อยละ 42 ประชาชนเลือกอ่านข่าวการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 ทางหนังสือพิมพ์ ได้แก่ ไทยรัฐ คิดเป็นร้อยละ 55 การเลือกรับฟังข่าวการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 ทางคลื่นสถานีวิทยุ ได้แก่ อสมท. 91.50 คิดเป็นร้อยละ 50.8 การวิเคราะห์ข่าวสารทางการเมืองเป็นบางครั้ง คิดเป็นร้อยละ 72เหตุผลที่สำคัญในการเลือกรับข่าวสารการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558ของแต่ละสถานี ได้แก่ เพื่อทราบความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ทางการเมือง คิดเป็นร้อยละ 66.5 ประชาชนเลือกรับข่าวสารทางการเมืองตามช่วงเวลา 16.00-20.00 น. คิดเป็นร้อยละ 41.5 ประชาชนเชื่อถือข่าวสารการร่างรัฐธรรมนูญเฉพาะบางข่าวเท่านั้น คิดเป็นร้อยละ 82.2 และผลกระทบจากการประกาศใช้ Single Gateway ในประเทศไทย คิดเป็นร้อยละ 63ค่าเฉลี่ยรวมของความพึงพอใจต่อการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2558 ของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี 3.10 อยู่ในระดับพึงพอใจปานกลาง 

พฤติกรรมการเปิดรับสื่อมวลชนและความพึงพอใจของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี


ชื่อเรื่อง   :    พฤติกรรมการเปิดรับสื่อมวลชนและความพึงพอใจของประชาชน
                    ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี
คณะผู้จัดทำ    :    นางสาวขวญัใจ  โชปัญญา  , นายสุวชิชา  ชาวชายโขง
                             นางสาวณฏัฐรี  บุญสุวรรณ  , นางสาวปาจรีย์ จนัทร์ศรีรัตน์
                             นางสาวพิมพม์าดา  วฒันดา รงพาณิชย์
ระดับการศึกษา    :   ปริญญาตรี สาขานิเทศศาสตร์บณัฑิต (นศ.บ.)  สาขาวชิานิเทศศาสตร์
                                 คณะวิทยาการจดัการ มหาวทิยาลยัราชภฏัอุดรธานี
ปีการศึกษา   :    2558
อาจารย์ทปี่รึกษา   :    ผศ.ดร. เสกสรร สายสีสด                                                                
                 
                                                                       
                                                                         บทคัดย่อ
            การศึกษาพฤติกรรมหรือความพึงพอใจในการเลือกรับสื่อมวลชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี  ใน ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1 .เพื่อศึกษาพฤติกรรมเปิดรับสื่อมวลชนของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี  2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี ผ่านสื่อมวลชนเครื่องมือที่ใชใ้นการเก็บรวบรวมขอ้มูล คือ แบบสอบถาม และสถิติที่ใชใ้นการวเิคราะห์ขอ้มูล คือร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ขอ้มูลโดยใชโ้ปรแกรม SPSS
ผลการวิจัย พบว่า 1. ขอ้มูลเกี่ยวกับลกัษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่าเป็นชาย จำนวน 160 คน คิดเป็นร้อยละ 40.0  และเป็นหญิง จำนวน 240 คน คิดเป็นร้อยละ 60.0 อาชีพพบว่าส่วนใหญ่เป็นนักเรียน / นกัศึกษา จำนวน 182  คน คิดเป็นร้อยละ 45.5 อาชีพอิสระ / ธุรกิจส่วนตวั จำนวน  89 คน คิดเป็นร้อยละ 22.3  ข้าราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ  จำนวน  42 คน  คิดเป็นร้อยละ 10.5  พนักงาน / เจ้าหน้าที่บริษัท จำนวน  64  คน  คิดเป็นร้อยละ  16.0  ไม่ได้ประกอบอาชีพ จำนวน 18 คนคิดเป็นร้อยละ  4.5 อื่น ๆ จำนวน  5 คน  คิดเป็นร้อย ละ 1.3  รายไดต้่อเดือน ต่ ากว่า 10,000 บาท  จำนวน 158  คน คิดเป็นร้อยละ 3 รายไดต้่อเดือน 55,000 – 10,000 บาท จา นวน 75  คน คิดเป็นร้อยละ18.8  รายได้ต่อเดือน 10,0001 – 15,000 บาทจำนวน 79  คน  คิด เป็นร้อยละ 19.8  รายได้ต่อเดือน ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป จำนวน  88 คน  คิดเป็นร้อยละ  22.0  อายุส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 15 - 25 ปี ต่ ากว่า 15 ปี  จำนวน  25 คน คิดเป็นร้อยละ 6.3 อายรุะหว่าง 26 – 35 ปี จำนวน  97 คน คิดเป็นร้อยละ 24.3 อายรุะหว่าง 36 – 43 ปี จำนวน  44 คน  คิดเป็นร้อยละ 11.0  อายรุะหว่าง   44 – 50 ปี จำนวน  51  คน  คิดเป็นร้อยละ  12.8  สูงกว่า 50 ปี จำนวน 25 คนคิดเป็นร้อยละ  6.3  2.  ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นและพฤติกรรมการเปิดรับสื่อมวลชนของกลุ่มตวัอย่างส่วนใหญ่ จำนวน 400 คน คิดเป็นร้อยละ 100.0 เปิดรับสื่อมวลชนประจำ จำนวน 244 คน คิดเป็นร้อยละ 61.0 และไม่ประจำ จำนวน 156 คน คิดเป็นร้อยละ 39.0 เหตุผลที่สำคัญส่วนใหญ่ได้รับสาระ ความรู้ที่เป็นประโยชน์  จา นวน 106 คน คิดเป็นร้อยละ  26.5 ส่วนใหญ่จะรับสื่อมวลชนบ่อยที่สุดในช่วงเย็น จำนวน 127 คน คิดเป็น ร้อยละ  31.8 รองมาลงเป็นช่วงค่ำ-ดึก   จำนวน 83 คน คิดเป็นร้อยละ 20.8 เลือกรับสื่อมวลชนสื่อใดจำแนกตามประเภทเลือกได้มากกว่า 1 ขอ้ ขอ้ที่ถูกเลือกมากที่สุด คือ  โทรทศัน์ จา นวนคนที่เลือก 274 คน คิดเป็น ร้อยละ  68.5 ส่วนใหญ่จะรับสื่อมวลชนมากที่สุด คือ  อินเตอร์เน็ต  จำนวน 165 คน คิดเป็นร้อยละ 41.3 รองลงมาไดแ้ก่  โทรทศัน์ จา นวน 115 คน คิดเป็นร้อยละ  28.8  ชอบรับสื่อมวลชนในเรื่องที่มากที่สุด คือ ความสนุกสนานและความบนัเทิง จา นวน 122 คน คิดเป็นร้อยละ 30.5 รองลงมาไดแ้ก่ ข่าวสาร / ความรู้ จา นวน 121 คน คิดเป็นร้อยละ  30.3  ชอบรับขอ้มูลข่าวสารจากสื่อมวลชน จา นวน 362 คน คิดเป็นร้อยละ 90.5 และไม่ชอบรับขอ้มูลข่าวสารจากสื่อมวลชน จา นวน  38  คิดเป็นร้อยละ 9.5   รับสื่อมวลชนคนเดียว จา นวน 134  คิดเป็นร้อยละ 33.5 รองลงมา  3. ขอ้มูลเกี่ยวกับระดบัความพึงพอใจของกลุ่มตวัอย่างกลุ่มตวัอย่างในการเปิดรับสื่อมวลชนของ ประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานีในเกณฑม์าก ประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี มีความพึงพอใจต่อสื่อวิทยุอยู่ในเกณฑท์ี่ปานกลางและ ประชาชนในเขตเทศบาลนครอุดรธานี มีความพึงพอใจต่อโทรทศัน์  อยู่ในเกณฑ์ที่มาก ประชาชนในเขต เทศบาลนครอุดรธานี มีความพึงพอใจต่อหนังสือพิมพ์และนิตยสาร อยู่ในเกณฑท์ี่ปานกลาง

การเปิดรับข่าวสารและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี


เรื่อง                  การเปิดรับข่าวสารและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
บ้านเชียง ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
คณะผู้วิจัย            นางสาวผุดผ่อง        วงค์อนุ
                       นางสาววรกาญจน์     ดงไมตรี
                       นางสาวสุพัตรา        น้อยนิล
                       นายกรกช              เขียวรอด
                       นางสาวมุกวดี                   เยาวรัตน์
ระดับการศึกษา      ระดับปริญญาตรี นิเทศศาสตรบัณฑิต (นศ.บ) 
ปีที่พิมพ์     พ.ศ. 2558
สังกัด                  สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
อาจารย์ที่ปรึกษา    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เสกสรร  สายสีสด

บทคัดย่อ
          การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ข้อมูลนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง
เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการท่องเที่ยวเชิงโบราณคดี โดยใช้แบบสอบถาม ในการสำรวจความคิดเห็นต่างๆ จากกลุ่มเป้าหมายในการสำรวจข้อมูลจำนวน 400 คน จากนักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 390 คน และชาวต่างชาติ จำนวน 10 คน จากนั้นจึงได้นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ จากสถิติด้วยโปรแกรม SPSS โดยการหาค่าสถิติพื้นฐานเพื่อวิเคราะห์ลักษณะโดยทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาโดยการใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย เพื่ออธิบายลักษณะของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ซึ่งประมวลผลโดยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามเป็น
ชาวไทยมากกว่าชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่มีอายุตั้งแต่ 20-25 ปี มีสถานภาพโสด  มีการศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นนักเรียนนักศึกษา ส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาท
          พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง พบว่ากลุ่มตัวอย่างได้รับข่าวสารของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง จากสื่ออินเทอร์เน็ตจำนวน 178 คน คิดเป็นร้อยละ 36.5 รับข่าวสารจากโซเซียลมีเดีย จำนวน 168 คน คิดเป็นร้อยละ 34.4 ทราบจากคนรู้จักจำนวน 78 คน คิดเป็นร้อยละ 16.0 รับข่าวสารจากสื่อโทรทัศน์จำนวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 14.8 การรับฟังจากผู้รู้จำนวน 69 คน คิดเป็นร้อยละ 14.1 รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อหนังสือพิมพ์จำนวน 51 คน คิดเป็นร้อยละ 10.5 จากสื่อวิทยุจำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 5.5 
          ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อข้อมูลข่าวสารในระดับมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ พึงพอใจต่อป้ายบอกทางในการเดินเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง และพึงพอใจต่อปริมาณข่าวสารที่ได้รับ ( x = 4.05 ) รองลงมาได้แก่ การได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอและข้อมูลของสื่อต่างๆด้านการประชาสัมพันธ์ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 3.71 - 3.93 ) พึงพอใจต่อสถานที่ถ่ายและระยะเวลาในการเดินเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ อยู่ในระดับมาก ( x = 3.89 ) พึงพอใจต่อการบริการอำนวยความสะดวกของรถราง ห้องน้ำ ความสะอาดของสถานที่เดินเที่ยวชมอยู่ในระดับมาก ( x = 3.77 - 3.83 ) พึงพอใจต่อสถานที่จอดรถและร้านค้าขายของที่ระลึกอยู่ในระดับมาก        (x = 3.70 – 3.89 ) พึงพอใจต่อข้อมูลความรู้ต่อวัดโพธิ์ศรีในและเรือนไทพวนอยู่ในระดับมาก ( x = 3.71 – 3.76 ) และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือพึงพอใจต่อการต้อนรับของประชาชนในเขตพื้นที่ และพึงพอใจต่อการเดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงอยู่ในระดับมาก ( x  = 3.66 – 3.68 ) ตามลำดับ


การติดตามผลภาวะการมีงานทำของบัณฑิตนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี


หัวข้องานวิจัย   :    การติดตามผลภาวะการมีงานทำของบัณฑิตนิเทศศาสตร์
                              มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี  
ชื่อผู้วิจัย      :     วรัชญา  มาพงษ์
                          จุฑามาศ  ประดุงศิลป์
                          นนทรี  ศักดิ์สร้อย
                          อรลณา  ดงประจ า
ระดับการศึกษา     :    ปริญญาตรี นิเทศศาสตรบัณฑิต (นศ.บ.) นิเทศศาสตร์ (วารสารสนเทศ)
ปีการศึกษา  :    2558
อาจารย์ที่ปรึกษา   :   ผศ.ดร.เสกสรร สายสีสด

                                                                      บทคัดย่อ
 การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามผลภาวการณ์มีงานท าของบัณฑิตนิเทศศาสตร์   คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของบัณฑิตนิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่มีต่อสานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ  โดยประชากรในการศึกษาคือบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2557
จำนวน 57 คน การส ารวจข้อมูลได้ดำเนินการเก็บข้อมูลจากบัณฑิตที่เข้าร่วมซ้อม พิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลจ านวน 57 คน  โดยเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถามภาวการณ์มีงานทำของบัณฑิต รุ่นปีการศึกษา 2557 และ ความพึงพอใจองบัณฑิตที่มีต่อหลักสูตรนิเทศศาสตร์ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม สำเร็จรูป SPSS ได้แก่วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน  ผลการสำรวจบัณฑิตสาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ปีการศึกษา 2557 พบว่าส่วนใหญ่ทำงานแล้ว จำนวน 34 คน ทำงานแล้วและกำลังศึกษาต่อ 2 คน ยังไม่ทำงาน และยังไม่ศึกษาต่อ 21 คน
ผลการสำรวจบัณฑิตสาขานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2557 พบว่าการสมัครงานและการทำงาน (สำหรับผู้ที่ยังไม่ทำงาน) จำนวน 21 คน ส่วน ใหญ่ไปสมัครงาน จำนวน 15 คน และไม่ได้ไปสมัครงาน จำนวน 6 คน สาเหตุที่ยังไม่ได้ทำงาน รอฟัง คำตอบจากหน่วยงาน จำนวน 8 คน กำลังเตรียมตัวสอบท างาน 4 คน ไม่พบปัญหาในการสมัครงาน จำนวน 18 คน ยังไม่ประสงค์ที่จะทำงาน จำนวน 5 คน หางานทำไม่ได้และอื่นๆ จำนวน 4 คน หน่วยงานที่บัณฑิตนิเทศศาสตร์ไปสมัครงานมากที่สุด จ านวน 7 คน ส่วนใหญ่สมัครบริษัท/องค์กร เอกชน หน่วยงานรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานราชการ จ านวน 5 คน ประเภทงานที่บัณฑิตนิเทศศาสตร์ ไปสมัครงานมากที่สุด (สำหรับผู้ที่ยังไม่ทำงาน) ส่วนใหญ่สมัครงานในด้านประชาสัมพันธ์ จำนวน 9 คน ได้งานทำจำนวน 36 คน ไม่ได้ท างาน 21 คน และบัณฑิตนิเทศศาสตร์ยังไม่ประสงค์ที่จะศึกษาต่อ จ านวน 21 คน อีกทั้งการสมัครงานและการทำงาน (สำหรับผู้มีงานทำแล้ว)  บัณฑิตส่วนใหญ่มีงานทำแล้ว 36 คน ประกอบอาชีพพนักงานบริษัท องค์กรธุรกิจเอกชน จำนวน 7 คน ลักษณะงานส่วนใหญ่ พบว่าเป็นงานด้านประชาสัมพันธ์ จำนวน 6 คน ส่วนใหญ่สามารถนำความรู้ด้านการใช้คอมพิวเตอร์ ไปช่วยในการสมัครงาน จำนวน 17 คน มีรายได้ระหว่าง 8,000-10,000 บาท จ านวน 14 คน มีความ พึงพอใจกับงานที่ทำ จำนวน 35 คน ลักษณะงานที่ทำไม่ตรงกับสาวิชาที่เรียนมาจำนวน 16 คน บัณฑิตสาขานิเทศศาสตร์มีงานทำทันทีหลังสำเร็จการศึกษา จำนวน 16 คน  และบัณฑิตสาขานิเทศ ศาสตร์สามารถนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ จ านวน 17 คน  ซึ่งจะเอื้อ ประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพให้กับผู้ที่ส าเร็จการศึกษาจากสาวิชานิเทศศาสตร์  คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี
บัณฑิตสาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปี การศึกษา 2557 พบว่าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจของบัณฑิตสาขานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มีความพึงพอใจอยู่ในเกณฑ์มากเรียงลำดับได้ คืออาจารย์เป็นกันเองกับ นักศึกษา (Mean=4.11) พึงพอใจกับเนื้อหาวิชาที่สอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ (Mean=4.05) มี การฝึกประสบการณ์วิชาชีพในสถานประกอบการ (Mean=3.98) อาจารย์ที่ปรึกษาเอาใจใส่ในการ ดูแลนักศึกษา (Mean=3.95) เปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าร่วมอบรมกับสมาคมวิชาชีพ (Mean=3.88) มี

กิจกรรมโฮมรูมแจ้งข่าวสาร แนะน านักศึกษา (Mean=3.86) อาจารย์ที่สอนมีความรู้ความสามารถ (Mean=3.82) หลักสูตรมีความเหมาะสม (Mean=3.81)มีการจัดศึกษาดูงานนอกสถานที่ (Mean=3.77) การเรียนรู้เน้นทักษะการปฏิบัติจริง (Mean=3.74) และพึงพอใจกับห้องปฏิบัติการ สาขานิเทศศาสตร์ (Mean=3.70) มีความพึงพอใจอยู่ในเกณฑ์ปานกลางเรียงล าดับได้ คือพึงพอใจกับ สถานีวิทยุ 107.7 MHz.(Mean=3.23) และพึงพอใจต่ออาคาร สถานที่ วัสดุ ครุภัณฑ์สาขา (Mean=3.23)

สภาพการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของนักศึกษาในเขตเทศบาลนครอุดรธานี


ชื่อเรื่อง    :             สภาพการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของนักศึกษาในเขตเทศบาลนครอุดรธานี
                                 The Study of readiness to ASEAN community of students in Uonthani Rajabhat University
ชื่อผู้วิจัย   :      นายธนกฤษ มะกา นายอภิชาติ บุญครอบ
                          น..ศิริกาญน์ อุดชาชน ..วริษา พฤฒิสาร
                          น..อาทิตยา ก้อนจันทร์
ปีที่ทำวิจัย   :    2558
ทุนอุดหนุนการวิจัย   : ได้รับทุนสนับสนุนวิจัยจากสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ระดับการศึกษา      :  ปริญญาตรี นิเทศศาสตรบัณฑิต (นศบ.) การประชาสัมพันธ์
ที่ปรึกษางานวิจัย    :   ผศ.ดร.เสกสรร  สายสีสด
บทคัดย่อ
                การศึกษาวิจัยเรื่อง สภาพการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของนักศึกษาในเขตเทศบาลนครอุดรธานีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพร้อมและความพึงพอใจของนักศึกษาต่อสภาพการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของนักศึกษาในเขตเทศบาลนครอุดรธานี ของนักศึกษาตามสถาบันการศึกษา 4 สถาบัน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ วิทยาลัยสันตพล วิทยาลัยเทคนิคอุดรธานี วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ผลการศึกษาพบว่า 1) ข้อมูล พื้นฐานของผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ100 จำแนกตามสถาบันการศึกษาของนักศึกษาในเขตเทศบาลนครอุดรธานี 4 สถาบันนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีมากที่สุด คือ ร้อยละ 66.5 รองลงมา คือ วิทยาลัยสันตพล อยู่ที่ ร้อยละ 12.3 วิทยาลัยเทคนิคอุดรธานี ร้อยละ 10.8 และ วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี คือ ร้อยละ 10.0 ตามลำดับความคิดเห็นเรื่องความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของนักศึกษา แต่ละด้านสรุปจากที่นักศึกษาทำแบบสอบถาม
                ด้านความรู้ ซึ่งนักศึกษารู้เกี่ยวกับเรื่องความเป็นมาในอาเซียนในเกณฑ์มาก (x= 3.65)  รองลงมาคือเรื่องนักศึกษารู้ถึงความสำคัญในความร่วมมือของอาเซียนในด้านการเมืองและความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและด้านสังคมวัฒนธรรม อยู่ในเกณฑ์ มาก (x = 3.60) ส่วนเรื่องที่นักศึกษารู้และเข้าใจโครงสร้างและกลไกในการดำเนินงานของอาเซียน เป็นเรื่องที่น้อยที่สุดในด้านความรู้อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง(x = 3.34)     
ด้านการเมือง พบว่านักศึกษามีความรู้เรื่องสิทธิเด็กและสิทธิมนุษยชน อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง  (x = 3.50) รองลงมา นักศึกษารู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของกลุ่มประชาคมอาเซียน อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง (x =3.47) และส่วนที่นักศึกษามีความรู้เกี่ยวกับกฏหมายระหว่างประเทศ อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง (x =3.25)
                ด้านเศรษฐกิจพบว่านักศึกษารู้ปัจจัยการผลิตเรื่องแรงงานการค้าเสรีข้อตกลงระหว่างการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง (x = 3.40)  รองลงมา นักศึกษารู้และเข้าใจระบบเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียน อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง (x  = 3.38) และส่วนที่นักศึกษารู้ระบบการเงินของกลุ่มประเทศอาเซียน อยู่ในเกณฑ์ปานกลา (x = 3.34)
                ด้านสังคมและวัฒนธรรม พบว่านักศึกษามีความรู้เกี่ยวกับการแต่งกายอาเซียนประเทศในกลุ่มอาเซียน อยู่ในเกณฑ์ มาก (x = 3.65) รองลงมา นักศึกษารู้เกี่ยวกับเอกลักษณ์ของประเทศในกลุ่มอาเซียน อยู่ในเกณฑ์ มาก        (x = 3.52) และส่วนที่นักศึกษารู้เกี่ยวกับบุคคลสำคัญและประวัติศาสตร์ของประเทศในกลุ่มอาเซียน อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง (x = 3.27)
                ด้านทักษะพื้นฐานพบว่านักศึกษามีความสามารถในการทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่น อยู่ในเกณฑ์ มาก (x = 3.70) รองลงมา นักศึกษามีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อนำมาใช้ในการเรียนรู้ อยู่ในเกณฑ์ มาก (x = 3.61) และส่วนที่นักศึกษาสามารถสื่อสารได้อย่างน้อย 2 ภาษา (ภาษาอังกฤษและภาษาประเทศในกลุ่มอาเซียนอีกอย่างน้อย 1 ภาษา) อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง (x = 3.35)
ด้านพลเมืองและความรับผิดชอบทางสังคม พบว่านักศึกษาเคารพและยอมรับความหลากหลายของสังคม อยู่ในเกณฑ์ มาก (x = 3.72) รองลงมา นักศึกษาเป็นผู้มีภาวะผู้นำ อยู่ในเกณฑ์ มาก (x =3.58) และส่วนที่นักศึกษาเป็นผู้มองเห็นปัญหาสังคมและลงมือทำเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง อยู่ในเกณฑ์ มาก (x =3.54)  
ด้านทักษะการเรียนรู้และพัฒนาตน พบว่านักศึกษาเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน อยู่ในเกณฑ์ มาก  (x = 3.83) รองลงมา นักศึกษามีความสามารถในการจัดการตนเอง/ควบคุมตนเอง (การวางแผน ดำเนินการตามแผนและประเมินผล) อยู่ในเกณฑ์ มาก (x =3.67)  และส่วนที่นักศึกษามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อยู่ในเกณฑ์ มาก (x = 3.61) พบว่านักศึกษามีทักษะการเรียนรู้และพัฒนาตนและทักษะพลเมืองและความรับผิดชอบ ด้านเจตคติ และความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก
                ด้านเจตคติ พบว่านักศึกษามีความภูมิใจในความเป็นไทยและความเป็นอาเซียน อยู่ในเกณฑ์ มาก (x = 3.90) รองลงมา นักศึกษายอมรับความแตกต่างในการนับถือศาสนา อยู่ในเกณฑ์ มาก (x  = 3.87) และส่วนที่นักศึกษามีความตระหนักในความเป็นอาเซียน อยู่ในเกณฑ์ มาก   (x = 3.56)
                ด้านความพึงพอใจ พบว่าความพึงพอใจในการเปิดรับข่าวสารอาเซียนในแต่ละวัน อยู่ในเกณฑ์ มาก (x = 3.74) รองลงมา คือสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนหรือในชีวิตประจำวันได้ อยู่ในเกณฑ์ มาก (x =3.62) ในด้านสื่อกิจกรรมสื่อมีการตอบสนองต่อความต้องการที่ได้รับมากน้อยเพียงใด อยู่ในเกณฑ์ มาก (x =3.62) และด้านสื่อสิ่งพิมพ์มีความครอบคลุมมากน้อยเพียงใด อยู่ในเกณฑ์ มาก (= 3.62) 
                ด้านสื่อมวลชนพบว่าในการจัดประชุมเรื่องอาเซียนในแต่ละครั้งนั้นได้รับข่าวสารมากน้อยเพียงใด อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง (x =3.49)